คุณเคยเห็นบารัคโอบามาเรียกโดนัลด์ทรัมป์ว่าเป็น “คนโง่” หรือมาร์คซัคเคอร์เบิร์กโม้เกี่ยวกับการ “ควบคุมข้อมูลที่ถูกขโมยมาของผู้คนนับพันล้านคน” หรือเห็นทอม ครูซ ไปรับบทเป็น Iron Man แทน โรเบิร์ต จอห์น ดาวนีย์ จูเนียร์ หรือไม่?
ถ้าคำตอบของคุณคือ “ใช่” แสดงว่าคุณพอจะรู้จักเทคโนโลยีที่กำลังมาแรงและคนพูดถึงกันอย่างแพร่หลายในขณะนี้ซึ่งก็คือ Deepfake
Deepfake มาจาก 2 คำศัพท์ ได้แก่ Deep learning และ Fake โดย Deep learning เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งของ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ทำหน้าที่เรียนรู้อัตลักษณ์ของบุคคลที่เฉพาะเจาะจงลงไปอย่างลึกซึ้ง เช่น ใบหน้า สีผิว รูปร่าง และท่าทางการเคลื่อนไหว การพูดจา และน้ำเสียง แล้วจึงแสดงผลออกมาตามคำสั่งที่ป้อนเข้าไปในรูปแบบต่าง ๆ อย่างอิสระราวกับบุคคลนั้นกำลังปรากฏตัวและพูดอยู่หน้ากล้องจริง ๆ นอกจากนั้นยังสามารถตัดสินใจกระทำการบางอย่างโดยอิงจากฐานข้อมูลที่เรียนรู้มาอีกด้วย ส่วน Fake นั้นก็คือ การปลอมแปลง หรือ การทำเทียม พอนำ 2 คำมารวมเป็น Deepfake ก็คือ การปลอมแปลงอัตลักษณ์ของบุคคลด้วยปัญญาประดิษฐ์นั่นเอง
เมื่อเร็วๆ นี้ Deepfake ก็กลายมาเป็นประเด็นขึ้นอีกครั้งเมื่อมีผู้ใช้งาน TikTok รายหนึ่งชื่อ “deeptomcruise” ได้นำใบหน้าของ ทอม ครูซ มาสวมทับใบหน้าของบุคคลอื่นบนวิดีโอต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดเป็นกระแสถกเถียงกันว่า ทอม ครูซ ที่เห็นในวิดีโอนั้นเป็นตัวจริงหรือไม่
ด้วยเทคโนโลยี Deepfake AI นี้ทำให้เราแทบจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่า บุคคลตรงหน้าจอ คือ ตัวจริง หรือ ตัวปลอมกันแน่
ต่อจากนี้เราจะต้องระมัดระวังมากขึ้นพร้อมกับตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่า คลิปที่เราเห็นนั้นเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน อย่ารีบเชื่อในสิ่งที่เห็นเพราะมันอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้
- ขอบคุณทุกคนที่อ่านน้า ถ้ามีข้อคิดเห็นหรือข้อแนะนำอะไร ติดต่อมาได้ที่นี่เลย labs@longdo.com
- นอกจากเรื่องนี้แล้ว เรายังมีเรื่องอื่นของสัปดาห์นี้อีกนะ
- ยังไม่พอใช่ไหม? ไปดูคอนเทนต์รายสัปดาห์อื่นๆ ของเรากันที่นี่สิ